รองผู้ว่ากทม เดือด street food ใช่ว่าจะขายตรงไหนก็ได้

รองผู้ว่ากทม เดือด street food ใช่ว่าจะขายตรงไหนก็ได้

ขายอาหารบนทางเท้า – เมื่อวันที่ 5 กันยายน นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่ากรุงเทพมหานครโพสต์รายงานการตรวจพื้นที่บริเวณหน้าโรบินสันบางรัก เนื่องจากมีคนร้องเยอะมากว่ามีการแอบค้าขายบนทางเท้าจนแทบไม่มีที่เดิน

นายสกลธี เลยสั่งการให้เทศกิจเขตบางรักเข้มงวดและออกตรวจให้ถี่ขึ้น 

รวมถึงร้านอาหารตรงหัวมุมถนนใต้สะพานตากสินที่ตั้งโต๊ะล้ำทางเท้าออกมาเยอะมากๆ ให้ผลักดันเข้าแนวที่ของทางร้านไป จากนั้นนายสกลธีไปตรวจตลาดบางแค ถนนเพชรเกษมซึ่งประมาณปลายปีนี้ ให้ทางเขตเตรียมแผนย้ายผู้ค้าไปที่ตลาดบางแคภิรมย์ซอยเพชรเกษม 69 ที่เป็นตลาดของทางกรุงเทพมหานคร จุดรองรับผู้ค้าบริเวณนี้ทั้งหมดสภาพของถนนเพชรเกษมตรงนี้สมบูรณ์เกือบ 100% ไม่เป็นหลุมบ่อแล้ว จะได้ให้สำนักการโยธาประสานผู้รับเหมาให้มาตีเส้นถนนให้ชัดเจนต่อไป #ทางเท้าไว้ให้คนเดิน

ต่อมา นายสกลธี ภัททิยกุล ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถึงจุดการตั้งขายอาหารบนฟุตปาธ ระบุว่า การเป็นเมือง street ฟู๊ดของกรุงเทพ ใช่ว่าจะตั้งร้านขายตรงไหนก็ได้

“คำว่าเมืองแห่ง street food ของกรุงเทพมหานครนี่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่น่าจะใช่อยากจะขายของขายอาหารตรงทางเท้าตรงไหนก็ได้นะครับ มันควรจะขายในจุดที่เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญ มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ ไม่ทำให้การจราจรติดขัดและไม่กระทบกับความสะดวกสบายของคนใช้ทางเท้าเป็นสำคัญเพราะเป็นที่สาธารณะที่คนใช้ร่วมกัน บริบทสมัยก่อนที่มีจุดผ่อนผันก็เพื่อช่วยเหลือคนรายได้น้อยที่เป็นหาบเร่แผงลอยจริงๆ แต่ปัจจุบันแทบจะไม่มีหาบเร่แผงลอยแบบนั้นแล้วครับ กลับเปลี่ยนเป็นรถเข็นขนาดใหญ่หรือตั้งโต๊ะเป็นกิจลักษณะบนทางเท้าอย่างที่เห็นๆ กันในสมัยก่อนกรุงเทพมหานครมีจุดผ่อนผันเดิม 600 กว่าจุดเริ่มมาตั้งแต่สมัยพลตรีจำลอง ศรีเมืองเป็นผู้ว่าฯ ต่อมาสมัยประมาณปี พ.ศ.2554 เจ้าพนักงานจราจร (บช.น.) ได้มีหนังสือถึงกรุงเทพมหานครว่าไม่เห็นชอบให้มีจุดผ่อนผันเนื่องจากทำให้การจราจรติดขัด จึงเป็นที่มาของการทยอยยกเลิกจุดผ่อนผันตั้งแต่ตอนนั้นถึงปัจจุบันครับ ปัจจุบันตัวเลขกลมๆ ของจุดผ่อนผันอยู่ที่ประมาณ 170 จุด

โดยในการยกเลิกนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 เป็นต้นมาตามนโยบายของรัฐบาลจะให้ทางกรุงเทพมหานครหาจุดขายใหม่ให้ แต่ปัญหาที่พบเกือบจะทั้งหมดคือผู้ค้าไม่อยากไปขายที่ใหม่ อยากขายที่เดิมริมถนนตรงนั้นแหละครับ แม้จุดที่หาให้จะห่างไปจากจุดเดิมไม่กี่เมตรก็ตาม แต่ที่สุดก็มีผู้ค้าที่โดนยกเลิกจุดย้ายไปน่าจะร่วมเป็นพันคนตามจุดที่หาให้ทั่วกรุงเทพฯ ครับ ดังนั้นที่ว่ากรุงเทพมหานครตัดโอกาสการทำมาหากินจึงไม่น่าจะใช่ ได้หาที่ใหม่ให้ทุกครั้งเพียงแต่ผู้ค้าไม่อยากไปเพราะมันขายดีสู้บนทางเท้าไม่ได้ครับ

เวลากรุงเทพมหานครจะพิจารณายกเลิกจุดผ่อนผันเราดูองค์ประกอบหลายประการครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจราจร ความเรียบร้อยและความสะอาด จำนวนผู้ค้า รวมถึงพื้นที่บริเวณทางเท้าว่ามีพอหรือไม่ รวมถึงประโยชน์ของการคงไว้ซึ่งจุดผ่อนผันครับ ไม่ได้จะตะบี้ตะบันเลิกให้หมดๆ ไป จุดที่เรียบร้อยไม่สกปรกรกรุงรังก็ยังคงอยู่จัดระเบียบกันไป บางจุดที่มีชื่อเสียงและจำเป็นเป็นหน้าเป็นตาของประเทศอย่างเยาวราชหรือถนนข้าวสารก็จะคงไว้โดยพิจารณาดูเป็นกรณีๆ ไปและจะพัฒนาให้มันดีขึ้น โดยในจุดอื่นก็เช่นกันครับ จุดที่กำลังจะเลิกในอนาคตก็จะหาที่ใหม่เสนอผู้ค้าครับ

ช่วงนี้มีคนออกมาพูดกันเยอะเรื่องกรุงเทพมหานครเข้มงวดกับหาบเร่แผงลอยครับ อยากให้ลงไปเดินทางเท้ากันบ้างครับจะได้เข้าใจหัวอกคนใช้ทางเท้า ทำมาหากินก็เข้าใจครับแต่ต้องไม่เบียดเบียนสิทธิของคนใช้ทางเท้าด้วยครับ ชื่อก็บอกอยู่แล้วครับ #ทางเท้าไว้ให้คนเดินครับ #จะออกตรวจต่อเนื่องต่อไปครับ #ออกไม่บอกเขตครับ ???”

นักศึกษาม.ดัง ถูกจับหลังแฮ็กโค้ดส่วนลดราคาร้านออนไลน์ เสียหายนับล้านบาท

วานนี้ (5 ก.ย.) ได้มีการแถลงข่าวการจับกุมนักศึกษา 2 รายคือ นายจิรภัทร ยืนยิ่ง อายุ 20 ปี และนายศุภวัฒน์ วีระบุรุษ อายุ 21 ปี ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหลังนักศึกษาทั้งสองถูกร้องเรียนจากบริษัทให้บริการอาหารฟาสฟู๊ดรายหนึ่ง และร้านอาหารออนไลน์กว่า 10 ร้านค้าว่าถูกทั้งสองแฮ็กระบบเอาข้อมูลโค้ดลดราคาสินค้าไปใช้ก่อนที่บริษัทจะนำโค้ดวางจำหน่าย จนทำให้ระบบล่มไปกว่า 30 นาที สร้างความเสียหายมูลค่าประมาณ 1,000,000 บาท

เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมทั้งสองได้ที่บ้านในอ.เมือง จ.ขอนแก่น พร้อมของกลางเป็นคอมพิวเตอร์พีซี 1 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง และโทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง

นายจิรภัทรรับสารภาพว่าตนทำหน้าที่แฮ็กข้อมูล ส่วนนายศุภวัฒน์ คอยสนับสนุนและนำโค้ดไปขายต่อ โดยทั้งสองคนเรียนรู้การแฮ็กข้อมูลจากดาร์กเว็บมาเป็นปี ก่อนจะเริ่มลองผิดลองถูกจนสามารถแฮ็กข้อมูลหาเงินได้ โดยอาศัยช่องว่างการป้องกันบนเว็บไซต์ของบริษัท เพื่อขโมยโค้ดไปขายบนกลุ่มลับในโลกออนไลน์ในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เช่น ราคาจริง 100 บาท แต่วพวกตนนำไปขายเพียง 30-50 บาท รวมนับหลักพันโค้ด และนำเงินที่ได้มาใช้จ่ายส่วนตัว

จากข้อมูลระบุว่า นายจิรภัทรเป็นอดีตนักศึกษาในคณะเกี่ยวกับวิทยาการคอมพิวเตอร์ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน ซึ่งถูกรีไทร์ออกมา สำหรับนายศุภวัฒน์กำลังศึกษาอยู่คนละสถาบัน ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยม และได้ชักชวนกันมาก่อเหตุครั้งนี้ ในเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฐานเข้าถึงระบบโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และลักทรัพย์รวมถึงรับของโจรตามกฎหมายอาญา มาตรา 334 และ 337 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี